Blog

  • KUBET – เปิดเคล็ดลับอายุยืน ชายวัย 93 กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ที่ไทยหาง่าย แถมราคาถูก

    เปิดเคล็ดลับอายุยืน ผู้ก่อตั้งบริษัทระดับโลก วัย 93 ปี แค่กินผลไม้ชนิดนี้ทุกเช้า ดีต่อทั้งน้ำตาลในเลือดและหัวใจ

    มอร์ริส จาง ผู้ก่อตั้งบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Co (TSMC) คือผู้วางรากฐานให้กับโรงงานผลิตชิปเซมิคอนดักเตอร์แห่งแรกและใหญ่ที่สุดในโลก

    แม้จะอายุ 93 ปีแล้ว แต่เขายังคงเป็นที่ชื่นชม ไม่เพียงเพราะความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ แต่ยังรวมถึงสุขภาพที่แข็งแรงและวินัยในการใช้ชีวิต แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป แต่สายตาของเขายังคงเฉียบแหลม ความคิดยังคงเฉียบคม และสติปัญญายังคงแจ่มใส

    ท่ามกลางวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความสำเร็จทางธุรกิจมากมาย หลายคนต่างสงสัยว่าอะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้เขาสามารถทำงานอย่างต่อเนื่องได้เป็นเวลาหลายทศวรรษ ภายใต้ภาระงานมหาศาลและแรงกดดันจากการตัดสินใจครั้งสำคัญ

    อะไรคือกุญแจสู่สุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนของเขา?

    นอกเหนือจากหลักการสำคัญอย่างการออกกำลังกายเป็นประจำ การรับประทานอาหารที่สมดุล และการบริหารเวลาการทำงานและการพักผ่อนอย่างมีระบบ ครอบครัวยังเผยว่า มอร์ริส จาง มีนิสัยกิน “มะละกอสุก” เป็นอาหารเช้าทุกวัน

    Jess Loiterton

    มะละกอ อัดแน่นด้วยสารอาหารสำคัญ

    มะละกอเป็นผลไม้ที่คุ้นเคยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก แคลอรีส่วนใหญ่ในมะละกอมาจากคาร์โบไฮเดรต โดยมะละกอ 145 กรัม ให้พลังงานประมาณ 62 แคลอรี ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต 16 กรัม ซึ่งรวมถึงใยอาหาร 2.5 กรัม และน้ำตาลธรรมชาติประมาณ 11 กรัม นอกจากนี้ มะละกอยังมีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) อยู่ที่ 60 และค่าภาระน้ำตาล (GL) ประมาณ 9 ที่สำคัญคือ มะละกอมีไขมันต่ำมาก โดยมีไม่ถึง 1 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

    นอกจากเป็นแหล่งพลังงานที่ดีแล้ว มะละกอยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โดยในมะละกอ 145 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 88.3 มิลลิกรัม ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการต่อวันของผู้ใหญ่ (75-90 มิลลิกรัม) อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ และโดดเด่นด้วยไลโคปีน แคโรทีนอยด์ ซึ่งเป็นสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

    ประโยชน์ของมะละกอต่อสุขภาพ

    ด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย มะละกอไม่เพียงแต่ให้พลังงาน แต่ยังช่วยเสริมสร้างและปกป้องสุขภาพโดยรวม โดยเฉพาะวิตามินที่มีอยู่ในมะละกอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เซลล์แข็งแรง

    ช่วยให้ผิวสวย เปล่งปลั่งขึ้น

    วิตามินซีในมะละกอมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ซึ่งจำเป็นต่อความยืดหยุ่นและการฟื้นฟูของผิว ด้วยปริมาณวิตามินซีที่สูง มะละกอช่วยชะลอริ้วรอยก่อนวัยและเสริมสร้างสุขภาพผิว นอกจากนี้ โพแทสเซียมที่มีอยู่ยังช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดปัญหาผิวแห้งและหมองคล้ำ

    การผสานระหว่างวิตามิน A และ C ในมะละกอ ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดผลกระทบจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของริ้วรอยก่อนวัย

    บำรุงสายตา

    มะละกอเป็นแหล่งของ เบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามิน A ที่ช่วยบำรุงสายตาให้แข็งแรง งานวิจัยพบว่า ร่างกายสามารถดูดซึมเบตาแคโรทีนจากมะละกอได้ดีกว่าแครอทและมะเขือเทศถึง 3 เท่า

    สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะจอประสาทตาเสื่อมจากอายุที่เพิ่มขึ้น การได้รับเบตาแคโรทีนอย่างเพียงพอสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของดวงตาได้ การเลือกรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน A อย่างมะละกอจึงเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการดูแลสายตา

    ปรับสมดุลลำไส้และช่วยป้องกันมะเร็ง

    เช่นเดียวกับผักและผลไม้หลายชนิด มะละกอมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารและปรับสมดุลการทำงานของลำไส้ นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ ปาเปน (Papain) ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น

    มีการศึกษาพบว่า ปาเปน อาจช่วยให้ผู้ที่แพ้กลูเตน (แต่ไม่ได้เป็นโรคเซลิแอค) สามารถย่อยกลูเตนได้ดีขึ้นเมื่อรับประทานร่วมกับเอนไซม์จากมะละกอและจุลินทรีย์ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้นโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง

    นอกจากนี้ มะละกอยังอุดมไปด้วย โฟเลต เซลลูโลส ไฟเบอร์ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และช่วยลดปัญหาท้องผูก

    ดีต่อหัวใจ ควบคุมน้ำตาล และช่วยรักษาน้ำหนัก

    ไฟเบอร์ในมะละกอไม่เพียงช่วยระบบย่อยอาหาร แต่ยังมีประโยชน์ต่อหัวใจ โดยช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย นอกจากนี้ มะละกอยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และกรดแพนโทธีนิก ซึ่งล้วนมีบทบาทในการรักษาสุขภาพหัวใจให้แข็งแรง

    นอกจากนี้ มะละกอยังช่วยให้อิ่มนาน จึงมีส่วนช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งส่งผลดีต่อการลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและปัญหาน้ำตาลในเลือดที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน

    ข้อควรระวังในการรับประทานมะละกอบ่อยๆ

    ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือกำลังอยู่ในภาวะหิว ไม่ควรรับประทานมะละกอดิบ เนื่องจากเนื้อสัมผัสที่แข็งและแห้ง อาจทำให้กระเพาะอาหารต้องทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้รู้สึกไม่สบายหรือเกิดอาการปวด

    อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัญหากระเพาะอาหารสามารถรับประทานมะละกอสุกในรูปของสมูทตี้หลังมื้ออาหาร เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง เนื่องจากมะละกอสุกมีเนื้อนุ่ม ย่อยง่าย ไม่เพิ่มภาระให้กระเพาะอาหาร อีกทั้งยังช่วยบรรเทาอาการระคายเคืองและสมานแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ มะละกอสุกยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

  • KUBET – ยุงกวนตอนนอน ตื่นมาเปิดไฟหาก็ไม่เจอ แนะวิธีเด็ดจัดการได้อยู่หมัด จะกี่ครั้งก็ได้ผล

    นอนๆ อยู่โดนยุงกวน ตื่นมาเปิดไฟหาก็ไม่เจอ น่าหงุดหงิด! ชาวไต้หวันแนะวิธีเด็ด จัดการได้อยู่หมัด ใช้กี่ครั้งก็ได้ผล

    นอนๆ อยู่โดนยุงกวน ตื่นมาแม้ไม่โดนกัด แต่ก็กลัวว่าจะโดนอีกจนหลับไม่สนิท หลายคนบ่นว่าเสียงยุงบินตอนปิดไฟเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด เปิดไฟหาก็ไม่เจอ แต่มีคนลองแล้วได้ผล! แค่เปิดไฟห้องนั่งเล่น ปิดไฟห้องนอน แล้วรอประมาณ 5–10 นาที ยุงก็มักจะบินออกไปเอง เจ้าตัวบอกว่า “ใช้วิธีนี้ทีไร ได้ผลทุกครั้ง!”

    เจ้าของโพสต์ตั้งกระทู้บน Dcard ถามว่า “จะจัดการยุงบินข้างหูตอนนอนได้ยังไงให้เร็วที่สุด?” เพราะทุกครั้งที่ปิดไฟนอน สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดคือเสียงหึ่งๆ ของยุง แต่พอเปิดไฟกลับหาตัวไม่เจอ แถมดึกๆ ก็ฉีดยาฆ่าแมลงไม่ได้อีกด้วย!

    หลังจากลองมาหลายวิธี เขาพบว่า ถ้ามียุงในห้อง แค่เปิดประตูห้องนอน ปิดไฟในห้อง แล้วเปิดไฟในห้องนั่งเล่นหรือด้านนอก รอประมาณ 5–10 นาที ยุงก็มักจะบินออกไปเอง จากนั้นก็ปิดไฟข้างนอก รีบกลับเข้าห้องแล้วปิดประตู วิธีนี้ใช้แล้วได้ผลทุกครั้งสำหรับเขา แต่ไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะเวิร์กไหม ลองดูได้

    โพสต์นี้เรียกเสียงฮือฮาจากชาวเน็ต ต่างพากันแชร์เคล็ดลับกำจัดยุงกันใหญ่ “ผมจะปิดไฟก่อน พอได้ยินเสียงหึ่งๆ ก็รีบเปิดไฟ ยุงมักจะเกาะอยู่บนผนังใกล้ๆ หู จากนั้นก็จัดการได้เลย” บางคนบอกว่า “ยุงชอบแสง ถ้าเปิดไฟไว้ เดี๋ยวมันก็บินไปเอง” แต่มีวิธีสุดโหดที่มีคนลองแล้วได้ผล (ครั้งเดียว) “พอได้ยินเสียงหึ่งๆ ปุ๊บ ตบตัวเองเต็มแรง แล้วดันฆ่ายุงได้จริง!”

    ชาวเน็ตยังแนะนำวิธีไล่ยุงอื่นๆ เช่น ใช้เครื่องไล่ยุงไฟฟ้า สเปรย์กันยุง หรือพัดลม “เครื่องไล่ยุงแบบน้ำของ Raid (ถ้ามีแมวไม่ควรใช้) เปิดทิ้งไว้ 3 ชั่วโมงก่อนนอน ปิดประตูให้มิด” บางคนแนะนำว่า “ทาเซียงเพียวตรงหู ได้ผลสุดๆ!” หรือ “สเปรย์กันยุงของญี่ปุ่น แค่ฉีดครั้งเดียว ยุงร่วงหมด” และอีกหนึ่งทริค “ไม่อยากได้ยินเสียงยุง? เปิดเครื่องไล่ยุงไฟฟ้าสักชั่วโมงก่อนนอน แล้วค่อยปิดตอนจะหลับ”

  • KUBET – เจ้าชายเฟรเดอริกแห่งลักเซมเบิร์ก สิ้นพระชนม์ในวัย 22 ปี หลังต่อสู้โรคหายากมายาวนาน

    ลักเซมเบิร์กเศร้า สูญเสีย “เจ้าชายเฟรเดอริก” สิ้นพระชนม์ในวัย 22 ปี หลังต่อสู้กับโรคทางพันธุกรรมหายากมายาวนาน

    เจ้าชายโรเบิร์ตแห่งลักเซมเบิร์ก ได้ประกาศข่าวเศร้าของการจากไปของพระโอรสองค์เล็ก เจ้าชายเฟรเดอริกแห่งนัสเซา ในวัย 22 ปี โดยเจ้าชายเฟรเดอริกได้สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา หลังจากต่อสู้กับโรคทางพันธุกรรมหายาก POLG Mitochondrial Disease มาอย่างยาวนาน

    เจ้าชายโรเบิร์ตได้แสดงความเสียพระทัยผ่านข้อความที่ถูกโพสต์บนเว็บไซต์ POLG Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิที่ก่อตั้งโดยเจ้าชายเฟรเดอริก เพื่อต่อสู้หาวิธีรักษาและหาทางรักษาโรค POLG

    โรค POLG เป็นโรคทางพันธุกรรมหายากที่ทำลายพลังงานในเซลล์ของร่างกาย ส่งผลให้เกิดการทำงานของอวัยวะหลายส่วนล้มเหลวอย่างค่อยเป็นค่อยไป มูลนิธิอธิบายว่าอาการของโรคสามารถทำให้อวัยวะต่างๆ เช่น สมอง ตับ ลำไส้ และกล้ามเนื้อ รวมถึงการกลืนอาหาร ล้มเหลว

    เจ้าชายเฟรเดอริก เกิดมาพร้อมกับโรคนี้ แต่การวินิจฉัยอย่างเป็นทางการเกิดขึ้นเมื่ออายุ 14 ปี เมื่ออาการของพระองค์ทรุดลง

    ในแถลงการณ์จาก เจ้าชายโรเบิร์ต อายุ 69 ปี และ เจ้าหญิงจูลี่แห่งนัสเซา อายุ 64 ปี ทั้งสองพระองค์ได้เผยถึงช่วงเวลาสุดท้ายที่เจ็บปวดของพระโอรส ซึ่งรวมถึงการกล่าวคำลาครั้งสุดท้ายกับพ่อแม่และพี่น้องสองคน เจ้าหญิงชาร์ล็อตแห่งนัสเซา อายุ 29 ปี และ เจ้าชายอเล็กซานเดรแห่งนัสเซา อายุ 27 ปี

    แถลงการณ์ระบุว่า “ด้วยใจที่หนักหน่วงมาก ภรรยาของข้าพเจ้ากับข้าพเจ้าขอแจ้งข่าวการจากไปของลูกชายของเรา ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของมูลนิธิ POLG, เฟรเดอริก”

    เจ้าชายโรเบิร์ต เผยว่า ลูกชายอันเป็นที่รักของพระองค์ได้กล่าวคำลาในวันโรคหายาก ซึ่งจัดขึ้นในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อส่งเสริมการตระหนักรู้และสนับสนุนการวิจัยเกี่ยวกับโรคหายาก

    “เมื่อวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ ในวันโรคหายาก ลูกชายอันเป็นที่รักของเราขอให้เราไปที่ห้องของเขาเพื่อพูดคุยเป็นครั้งสุดท้าย” 

    “เฟรเดอริกพบกำลังใจและความกล้าที่จะกล่าวคำลาทุกคนทีละคน พี่ชายของเขา อเล็กซานเดร, น้องสาวของเขา ชาร์ล็อต, ตัวข้าพเจ้าเอง, ลูกพี่ลูกน้องทั้งสามของเขา ชาร์ลีย์, หลุยส์ และโดนัลล์, พี่เขย มานซูร์ และในที่สุด ป้า ชาร์ล็อต และลุงมาร์ก”

    “เขาได้พูดทุกอย่างที่อยู่ในใจให้กับแม่อันยอดเยี่ยมของเขา ซึ่งไม่เคยทิ้งเขาไปไหนในระยะเวลา 15 ปี หลังจากมอบคำลาครั้งสุดท้ายให้กับแต่ละคน บางคำก็อ่อนโยน บางคำก็มีปัญญา และบางคำก็ให้ข้อคิด ด้วยสไตล์ของเฟรเดอริก เขาทิ้งมุกตลกที่เป็นตำนานของครอบครัวเราไว้กับเราเป็นครั้งสุดท้าย”

    “แม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของเขา ความตลกขบขันและความเมตตาไร้ขอบเขตของเขาทำให้เขาทิ้งรอยยิ้มสุดท้ายให้เรา เพื่อทำให้เราทุกคนมีความสุข”

    เจ้าชายโรเบิร์ตได้แสดงความเสียใจเกี่ยวกับการเดินทางต่อสู้กับโรคของพระโอรส ซึ่งพระองค์กล่าวว่าเจ้าชายเฟรเดอริกได้ต่อสู้ด้วยความกล้าหาญจนถึงที่สุด

    “นี่คือลมหายใจของการต่อสู้ที่เฟรเดอริกต้องเผชิญ และนี่คือภาระที่เขาต้องแบกรับตลอดชีวิต” 

    “เขาทำทุกอย่างด้วยความสง่างามและอารมณ์ขัน เมื่อเราถามเขาว่าอยากจะสร้างมูลนิธิเพื่อค้นหาวิธีรักษาและช่วยเหลือผู้ที่เหมือนเขาหรือไม่ เขากระโดดเข้าหาโอกาสนั้นทันที”

    “แม้ว่าเขาจะทำให้ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้โรคร้ายนี้กำหนดตัวตนของเขา แต่เขาก็ยังคงเชื่อมโยงกับและช่วยกำหนดพันธกิจของมูลนิธิ POLG”

    เจ้าชายโรเบิร์ตยังยกย่องอารมณ์ขันที่น่าทึ่งของพระโอรส พร้อมทั้งความฉลาดทางอารมณ์และความเมตตาที่ไม่สามารถวัดได้

    “เขามีความรู้สึกยุติธรรม ความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรมที่ไม่จำกัด เขามีวินัยและความเป็นระเบียบที่เกินกว่าที่จะเชื่อได้”

    หนึ่งในความทรงจำที่หวานที่สุดที่พระองค์แบ่งปันเกี่ยวกับพระโอรส เจ้าชายเฟรเดอริกคือ “คนที่แข็งแกร่งที่สุด” ที่ครอบครัวและเพื่อนๆ รู้จัก

    สำหรับ เจ้าชายเฟรเดอริกแห่งนัสเซา เกิดที่เมืองอาเอ็กซ์-อ็อง-โพรว็องซ์ในประเทศฝรั่งเศส และเคยใช้ชีวิตในกรุงลอนดอน อังกฤษ ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2004 พระองค์เข้าเรียนที่โรงเรียนนานาชาติในเจนีวา โรงเรียนประถมอีโคลอีเดน และโรงเรียนเซนต์จอร์จในคลาแรนส์

    ขณะที่ เจ้าชายโรเบิร์ตแห่งลักเซมเบิร์ก พระบิดา ทรงเป็นพระญาติชั้นแรกของแกรนด์ดยุคอองรีแห่งลักเซมเบิร์ก พระชันษา 69 ปี ซึ่งทรงประกาศสละราชสมบัติอย่างกะทันหันในเดือนธันวาคม 2567 เพื่อให้พระโอรส เจ้าชายกีโยม ที่มีพระชันษา 43 ปี ขึ้นครองราชย์แทน

  • KUBET – พี่สาวน้องชาย “สรัย วัชรพล” ลูกสาวบอสนิด อรพรรณ กับ “น้องนพ” ลูกชายนาเดีย โสณกุล

    นาเดีย ลงภาพลูกชาย น้องนพ ถ่ายคู่กับ พี่สาวคนสวย สรัย วัชรพล ลูกสาวบอสนิด อรพรรณ พี่น้องผูกพันเขาคิดถึงกัน  

    อดีตพิธีกรคนสวยรายการดาวกระจายค่ายโพลีพลัส นาเดีย  โสณกุล ภรรยาสุดที่รักของ ม.ล.อภิมงคล โสณกุล หลังแต่งงานไปเมื่อปี 2554 เธอได้เว้นวรรคจากการงานวงการบันเทิงเพื่อไปดูแลครอบครัวสามี และลูกๆ ทั้งสองคน คนโตลูกชาย น้องนพ-นพมงคล โสณกุล ณ อยุธยา วัย 13 ปี และคนเล็ก น้องโมนา-อภิญมงคล โสณกุล ณ อยุธยา วัย 6 ขวบ ต้องบอกว่าเป็นครอบครัวที่น่ารักและอบอุ่นมาก ไปไหนมา แทคทีมกันไป 4 คนพ่อแม่ลูก 

    ล่าสุด นาเดีย ลงภาพน่ารักความผูกพันของสองพี่น้องที่มาเจอกันอีกครั้ง สรัย วัชรพล พี่สาวคนสวยลูกคนโตของ บอสนิด-อรพรรณ วัชรพล คิดถึงน้องชาย น้องนพ ลูกชายนาเดีย จึงมาหาและได้ร่วมเฟรมกัน พร้อมกับเขียนแคปชั่นว่า “เค้าคิดถึงกัน” แฟนคลับหลายคนเห็นแล้วต่างกดไลก์กันรัวๆ เลยทีเดียว  

    ทั้งนี้ นาเดีย สนิทกับ บอสนิด อรพรรณ เพราะเคยทำงานเป็นพิธีกรในค่ายโพลีพลัส และสนิทกับ น้องสรัย วัชรพล เพราะเป็นสาวชิคๆ เหมือนกัน 

    เรียกว่าเป็นเฟรมคุณภาพเฟรมน่ารักมากจริงๆ  

  • KUBET – หญิงท่องเที่ยวทั่วโลก ไปมาแล้ว 60 ประเทศ ลั่นมีเพียงแห่งเดียวที่จะไม่ไปอีกครั้ง

    หญิงเดินทางไปมากกว่า 60 ประเทศแล้ว แต่มีเพียงแห่งเดียวที่จะไม่ไปอีกครั้ง อึ้งเป็นเมืองหลวงของประเทศดัง

    เว็บไซต์ New York Post รายงานเรื่องราวของ เจอรัลดีน โจควิม เธอเป็นนักเดินทางที่มีประสบการณ์มาก และเดินทางไปต่างประเทศประมาณ 4 ครั้งต่อปี และได้เยือนกว่า 60 ประเทศ อาทิ ยาป (Yap) เป็นหนึ่งในรัฐของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย, บราซิล, โอกินาว่าในญี่ปุ่น, รัสเซีย, แอฟริกาใต้, ออสเตรเลีย, โมซัมบิก และอีกมากมาย

    ปีที่แล้วเธอเดินทางถึง 5 ครั้ง ไปเล่นสกีที่อันดอร์รา, ท่องซาฟารีที่แอฟริกาใต้, พักในวิลล่าที่อิตาลี, ดำน้ำที่ชาร์มเอลชีคในอียิปต์ และไปเที่ยวตลาดคริสต์มาสที่มองส์และบรูจส์ในเบลเยียม

    โจอาคิมจากเมืองเพ็ตเวิร์ธในเวสต์ซัสเซ็กซ์ ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า “ฉันชอบเห็นสถานที่ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากชีวิตปกติ รู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่หลากหลายและได้สัมผัสวัฒนธรรมที่น่าสนใจ ฉันคิดว่าการเป็นนักท่องเที่ยวในประเทศอื่นเป็นสิทธิพิเศษ”

    “ดังนั้นจึงสำคัญที่จะได้เห็นทั้งสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดีนัก โดยไม่คาดหวังให้มันถูกปรับให้สะอาดหรือสมบูรณ์แบบ มันยังทำให้ฉันยิ่งรู้สึกขอบคุณสิ่งที่มีที่บ้านมากขึ้น และเป็นสิ่งที่สามีกับฉันได้สนับสนุนให้ลูกสาวทั้งสองของเราลองสัมผัส”

    โจอาคิมเป็นนักบำบัดด้วยการสะกดจิตและโค้ชด้านสุขภาพ แต่เคยเดินทางเพื่อการทำงานเมื่อเธอทำงานด้านการตลาดระหว่างประเทศ ปัจจุบันเธอเดินทางเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

    “ฉันชอบที่จะสัมผัสประสบการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการท่องเที่ยว กิจกรรม ชายหาด และวัฒนธรรม ฉันชอบรู้สึกว่าฉันอยู่ในที่ที่แตกต่าง ไม่ใช่แค่การนั่งอยู่ที่ชายหาดหรือพักในโรงแรมที่อาจจะเหมือนที่ไหนก็ได้ ฉันโชคดีที่ได้เดินทางไปยังที่ห่างไกลและที่ท่องเที่ยวยอดนิยม และพยายามเปิดใจเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่น” เธอกล่าว

    แต่ถึงแม้เธอจะมีความหลงใหลในการเดินทาง โจอาคิมกลับไม่ชอบอยู่ห่างจากบ้านนานเกินไป การได้เข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่แตกต่างไม่เพียงแต่ขยายขอบเขตของเรา แต่ยังช่วยให้เราชื่นชมสิ่งที่เรามีที่บ้าน

    “และจริงๆ แล้วฉันไม่ชอบการอยู่ห่างจากบ้านนานๆ เพราะความสะดวกสบายในบ้านและความคุ้นเคยจากการอยู่ในสภาพแวดล้อมของตัวเอง การได้พบเพื่อนและครอบครัว ฉันรู้ว่ามันฟังดูขัดกับการเดินทางที่ฉันทำ แต่ฉันก็คิดถึงสัตว์เลี้ยงของฉันด้วย ทั้งสุนัขสองตัวของเรา ซึ่งเป็นพันธุ์โรดีเซียน์ ริดจ์แบ็ค และแมวของเรา ชื่อฮันนี่ เมื่อฉันไม่อยู่ ดังนั้นการเดินทางบ่อยๆ แต่น้อยครั้งจึงเป็นทางเลือกที่ลงตัว”

    มีเพียงที่เดียวที่เธอจะไม่ไปอีกเลย นั่นคือกรุงการากัส เมืองหลวงของเวเนซุเอลา

    “มันคงเป็นหนึ่งในประสบการณ์การเดินทางที่แย่ที่สุดของฉัน ตอนนั้นฉันเดินทางไปทำงานจากมอนเตวิเดโอในอุรุกวัย และเที่ยวบินของฉันมาถึงในช่วงกลางคืน ฉันจองรถไว้สำหรับรับจากสนามบินไปยังโรงแรมในตัวเมืองเพื่อพักคืน ก่อนที่จะเดินทางไปยังเกาะอิสลามาร์การิตา ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ นอกชายฝั่ง” โจอาคิม กล่าว

    “มันดูเหมือนปกติจนกระทั่งฉันเริ่มรอรถรับ ฉันรอไปเรื่อยๆ และรอไปอีกหลายชั่วโมง จนสนามบินเล็กๆ เริ่มเงียบและฉันก็รู้ว่าเหลือแค่ฉันคนเดียว

    “โทรศัพท์ของฉันใช้ไม่ได้ เวลา 1 ทุ่มแล้วและไม่มีใครอยู่เลย จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินมาบอกว่าเขามาที่นี่เพื่อพาฉันไปโรงแรม ฉันรู้สึกโล่งใจ แต่เมื่อฉันขึ้นรถไป กลับมีผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหน้าทำให้ความเครียดของฉันพุ่งขึ้นสูงมาก

    “ปกติแล้วฉันคงไม่ขึ้นรถกับผู้ชายแปลกหน้า 2 คนหรอก แต่ฉันไม่มีทางเลือก ฉันเลยหยิบมีดพับขนาดเล็กจากกระเป๋าถือและใช้มันตลอดการเดินทาง 30 นาทีโดยที่มือกำมันไว้แน่น”

    โชคดีที่เธอไปถึงโรงแรมที่เก่าผุพังโดยไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เธอวางกระเป๋าไว้ที่หน้าประตูและนอนหลับไม่ค่อยสนิทในคืนนั้น

    ในวันถัดมา ขณะที่เธอจ่ายค่าแท็กซี่ที่สนามบิน ชายหนุ่มคนหนึ่งยกกระเป๋าของเธอแล้ววิ่งหนีไป เธอวิ่งตามไปจนรู้ว่าเขากำลังเสนอการเช็คอินแบบไม่เป็นทางการ โจอาคิมยอมเสียเงินบางส่วนและทำการเช็คอินเพื่อขึ้นเครื่องไปต่อ โชคดีที่การเดินทางกลับใช้เวลาหยุดพักที่สนามบินคารากัสไม่นานก่อนที่จะบินกลับบ้านที่สหราชอาณาจักร

  • KUBET – การตัดสินใจของลูกเขยหลังเมียตายไป 10 ปี แม่ยายร่ำไห้ คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูด!

    การตัดสินใจของลูกเขยหลังภรรยาเสียชีวิตไป 10 ปี ทำให้แม่ยายกลั้นน้ำตาไม่อยู่ “แม่ก็คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าพูด!”

    เว็บไซต์ Kenh14.vn รายงานเรื่องราวของ เต๋อเจี้ยน ชายวัย 40 ปี จากซินเจียง ประเทศจีน ที่ได้โพสต์เล่าเรื่องราวของเขาลง Weibo หลังจากเขาดูแลแม่ยายมานานกว่า 10 ปี การตัดสินใจของเขาหลังภรรยาเสียชีวิตไป 10 ปี ทำให้แม่ยายกลั้นน้ำตาไม่อยู่ 

    โดยระบุว่า “ผมอาศัยอยู่กับลูกสาวและแม่ยายในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งในซินเจียง ผมทำงานเป็นพนักงานธนาคารในตัวเมือง ส่วนลูกสาวตอนนี้เรียนมัธยมต้น แม่ยายช่วยดูแลงานบ้านเป็นหลัก บางครั้งก็รับจ้างทำงานบ้านรายชั่วโมงหรือขายผักและไก่ที่เลี้ยงเอง เพื่อหารายได้เสริม

    ช่วงไม่กี่ปีมานี้ แม่ยายไม่ได้ออกไปทำงานนอกบ้านแล้ว เพราะอายุมากเกือบ 70 ปี ภรรยาของผม เสี่ยวฉิน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อ 10 ปีก่อน ตอนนั้นพวกเราอาศัยอยู่กับแม่ยาย เธอเคยคิดจะย้ายออกไปหลังจากลูกสาวเสียชีวิต แต่ผมขอร้องให้เธออยู่ต่อ

    ผมไม่ได้สัญญาว่าจะดูแลเธออย่างดีที่สุด แต่ผมจะไม่มีวันปล่อยให้เธออด แม้ว่าบางวันผมจะมีแค่ผักกิน ผมก็จะแบ่งเนื้อให้เธอเสมอ

    อีกเหตุผลหนึ่งคือผมต้องการให้เธอช่วยดูแลลูกสาว ตอนนั้นลูกเพิ่งอายุแค่ 2 ขวบ และเราสองคนเพิ่งแต่งงานกันได้แค่ 2 ปี นอกจากนี้ ผมมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่ภรรยาผมต้องการ

    แม่ยายเป็นคนจิตใจดี ผมรักและเคารพเธอเหมือนเป็นแม่แท้ๆ เพราะผมเองก็เป็นเด็กกำพร้า ครอบครัวของเสี่ยวฉินก็คือครอบครัวของผมเช่นกัน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พวกเราสามคนอยู่ด้วยกัน พึ่งพาและดูแลกันมาโดยตลอด

    ช่วงแรกหลังภรรยาเสียชีวิต ผมต้องรับผิดชอบค่าชดเชยจากอุบัติเหตุ ทำให้สถานะทางการเงินย่ำแย่ แม่ยายยอมมอบเงินเก็บทั้งหมดให้ผม เธอออกไปทำงานเล็กๆ น้อยๆ ขายของในหมู่บ้าน ส่วนผมก็ตั้งใจทำงาน หาเงินใช้หนี้

    3 ปีที่ผ่านมา ผมได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นรองหัวหน้าแผนก งานมั่นคงขึ้น รายได้ก็ดีขึ้น ผมจึงขอให้แม่ยายหยุดทำงาน เพราะอายุเธอมากแล้วและสุขภาพก็เริ่มทรุดโทรมจากความเหนื่อยล้าตลอดหลายปี เธอก็ยอมทำตามที่ผมขอ

    ในปีที่ผ่านมา ผมได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคู่ค้าที่ทำงานด้วยกันและผมเริ่มมีความรู้สึกดีต่อเธอ สามีของเธอก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นเดียวกับภรรยาผม เธอใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่มีลูกและไม่เคยแต่งงานใหม่ อาจจะเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้เราสามารถพูดคุยและเข้าใจกันได้ง่ายขึ้น

    หลายครั้งที่เธอขอมาเยี่ยมบ้านผม เพื่อพบแม่ยายหรือมาพบลูกสาว แต่ผมก็ยังลังเลอยู่ บอกตามตรงว่าผมกังวลว่าแม่ยายจะเสียใจหากเห็นผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือกลัวว่าลูกจะรู้สึกไม่ดีที่เห็นพ่อมีผู้หญิงใหม่ อย่างไรก็ตาม ลูกสาวกลับไม่คิดอย่างนั้น เธอเข้าใจว่าผมมีความรักใหม่และยังสนับสนุนผม ซึ่งทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น

    ในวัน 8 มีนาคม ผมตัดสินใจมอบของขวัญเซอร์ไพรส์ให้แม่ยาย หลังจากคิดทบทวนหลายคืน ผมจึงตัดสินใจเลือกวัน 8/3 เพื่อบอกแม่ยายว่า ผมมีของขวัญชิ้นใหญ่ที่จะมอบให้ท่าน ในช่วงเย็น ผมนำมินห์ จ้าว แฟนใหม่ของผม มาพบแม่ยาย และนี่ก็เป็นของขวัญที่ผมมอบให้แม่ยายซึ่งถือว่าเป็นแม่แท้ๆ ของผม นั่นคือภรรยาใหม่ มินห์ จ้าว ยังมอบดอกไม้ช่อใหญ่ให้แม่และเสื้อผ้าชุดหนึ่งที่เธอเลือกผ้าและตัดเย็บเอง

    ผมแนะนำมินห์ จ้าว ให้แม่ยายและขอให้ท่านอนุญาตให้เราสร้างชีวิตคู่ด้วยกัน แม่ยายผมจับของขวัญในมือและร้องไห้สะอึกสะอื้น ผมตกใจคิดว่าคงทำอะไรผิดไป แต่แล้วก็ได้ยินแม่พูดออกมาว่า

    “แม่รอวันที่จะเห็นมันมานานแล้ว แม่ก็อยากให้ลูกมีความสุข แต่ไม่กล้าพูด กลัวลูกจะคิดมาก หรือกลัวเพราะแม่แก่แล้วลูกจะลืมความสุขของตัวเอง ในอนาคตแม่จะต้องจากไป หลานสาวก็ต้องไปแต่งงาน ลูกต้องการมีผู้หญิงข้างกาย แม่คือคนที่ควรรู้สึกผิดกับลูก ลูกไม่ต้องขอโทษแม่หรอก” ผมยังจำคำพูดของแม่ยายได้ดี

    ท่านบอกว่าอยากให้ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ไม่กล้าพูดออกมาเพราะกลัวลูกเขยจะคิดมาก และกลัวหลานจะเสียใจ จึงเก็บไว้ในใจ

    ทั้งผมและมินห์ จ้าวยินดีที่จะดูแลแม่และรู้สึกโชคดีที่มีท่านอยู่ข้างๆ ได้รับพรจากแม่ยาย ในวันแต่งงาน ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ เพื่อประกาศว่าเราจะอยู่ด้วยกันและเป็นคู่ชีวิต แม่ยายผมก็ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการมอบสินสอดมูลค่า 30,000 หยวน (ประมาณ 139,000 บาท)

    ท่านบอกว่านี่คือเงินที่เก็บออมมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งเงินที่ได้จากการทำธุรกิจในช่วงหลายปีมานี้ ซึ่งผมมักจะให้เงินแม่ยายทุกเดือนเล็กน้อย ท่านบอกว่าไม่กล้าใช้จ่าย และรอวันที่จะมอบให้ลูกเขยและลูกสะใภ้ใหม่ตั้งแต่เนิ่นๆ ท่านบอกว่าได้มองผมเป็นลูกชายตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจจะดูแลท่าน หลังจากที่ภรรยาของผมจากไป

    เหตุผลที่ผมอยากแชร์เรื่องนี้ในโซเชียลมีเดีย เพราะแฟนใหม่ของผม มินห์ จ้าว ได้แนะนำว่า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเรื่องราวแบบนี้ในชีวิตจริง และอยากจะแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ เพื่อเก็บเป็นความทรงจำดีๆ และบอกเล่าคำขอบคุณต่อแม่ทุกปี ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นไวรัล หลายคนแชร์เรื่องนี้โดยบอกว่ามีความคล้ายคลึงกัน เช่น การสูญเสียคู่ชีวิต และพ่อแม่ของคู่ชีวิตยังคอยช่วยเลี้ยงดูลูก หรือเป็นผู้ที่สนับสนุนให้ลูกๆ มีความสุขใหม่

    “จากเรื่องนี้ เราจะเห็นว่าโลกยังมีเรื่องราวดีๆ ที่อบอุ่นอีกมากมายที่เราไม่เคยรู้ อย่าค้นหาความสุขที่ไหนไกล แค่คุณทำดีกับคนในครอบครัว ความสุขที่สมบูรณ์ก็อยู่ที่นั่นแล้ว” เป็นคอมเมนต์จากผู้ใช้โซเชียลที่ได้รับความสนใจอย่างมาก

  • KUBET – สื่อดังจัดอันดับนักมวยสากลเก่งสุดตลอดกาลของเอเชีย โผ Top 10 มี “ไทย” ติดมา 2 คน

    เว็บไซต์ thesportster สื่อกีฬาชั้นนำของโลก ได้จัดอันดับ 13 นักมวยสากลที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของทวีปเอเชีย ซึ่งในโผนี้มีกำปั้นชาวไทยติดโผ 10 อันดับแรกเข้ามาถึง 2 คน

    สำหรับ 2 กำปั้นชาวไทยที่ติดเข้ามาก็คือ อันดับ 10 พงษ์ศักดิ์เล็ก วันจงคำ (พงษ์ศักดิ์เล็ก ศิษย์คนองศักดิ์, พงศกร วันจงคำ, พงษ์ศักดิ์เล็ก กระทิงแดงยิม) อดีตแชมป์ WBC รุ่นฟลายเวต และอันดับ 8 เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมป์ WBA รุ่นซูเปอร์ฟลายเวต

    13 นักมวยสากลเก่งสุดตลอดกาลในทวีปเอเชียของ The Sportster

    1. แมนนี ปาเกียว (ฟิลิปปินส์)
    2. นาโอยะ อิโนะอุเอะ (ญี่ปุ่น)
    3. คริส จอห์น (อินโดนีเซีย)
    4. มาซาฮิโกะ ฮาราดะ (ญี่ปุ่น)
    5. เซเฟริโน การ์เซีย (ฟิลิปปินส์)
    6. ปันโช วิลลา (ฟิลิปปินส์)
    7. กาเบรียล เอลอร์เด (ฟิลิปปินส์)
    8. เขาทราย แกแล็คซี่ (ไทย)
    9. โนนิโต โดแนร์ (ฟิลิปปินส์)
    10. พงษ์ศักดิ์เล็ก วันจงคำ (ไทย)
    11. โยโกะ กุชิเกน (ญี่ปุ่น)
    12. ยู มยอง-อู (เกาหลีใต้)
    13. เอลล์ยาส พิคัล (อินโดนีเซีย)

    โดย The Sportster กล่าวถึง พงษ์ศักดิ์เล็ก วันจงคำ ว่า “นักมวยชาวไทยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง และยังเป็นหนึ่งในนักมวยรุ่นฟลายเวตที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์อีกด้วย”
    1741395887889“พงษ์ศักดิ์เล็ก ผันตัวเป็นนักมวยอาชีพในปี 1994 และได้เป็นแชมป์โลก WBC ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2001 เมื่อเขาเอาชนะ มัลคอล์ม ตูนาเกา ได้ในยกแรก”

    “ตลอดระยะเวลา 6 ปี เขาป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ 17 ครั้งจาก 16 คู่ต่อสู้ ซึ่งยังคงเป็นสถิติในรุ่นฟลายเวต หลังจากที่เสียแชมป์ให้กับ ไดสุเกะ ไนโตะในเดือนกรกฎาคม 2007 และแพ้ในการรีแมตช์ในเดือนมีนาคม 2008 เขาก็ได้เป็นแชมป์อีก 2 สมัยในเดือนตุลาคม 2010 ด้วยคะแนนชนะ สุริยัน ไกรกันหา และป้องกันแชมป์ได้อีก 3 สมัย”

    “พงษ์ศักดิ์เล็ก จบอาชีพด้วยชัยชนะ 4 ครั้งติดต่อกัน ก่อนจะแขวนนวมในปี 2018 พร้อมกับสถานะของเขาในฐานะนักมวยไทยที่ดีที่สุดคนหนึ่งของไทย”

    ส่วน เขาทราย แกแล็คซี่ The Sportster กล่าวว่า “นักมวยชาวไทยผู้นี้มีหมัดอันทรงพลังและได้เป็นแชมป์โลกของ WBA ในเดือนพฤศจิกายน 1984 หลังจากเอาชนะ ยูเซบิโอ เอสปินัล ได้ในยกที่ 6”
    1741395854584
    “เขาทราย ป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ 19 ครั้งและประกาศเลิกชกในฐานะแชมป์หลังไฟต์สุดท้ายในเดือนธันวาคม 1991”

    “นิตยสาร Ring จัดให้ เขาทราย อยู่ใน 20 อันดับแรกของรายชื่อนักมวย 100 คนที่ดีที่สุดตลอดกาล และเป็นนักมวยไทยที่ชกปอนด์ต่อปอนด์อันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์”

    “เขาทราย ได้รับเลือกเข้าสู่หอเกียรติยศมวยสากลนานาชาติในปี 1999 และยังคงเป็นฮีโร่ของแฟนมวยไทยจนถึงทุกวันนี้”

  • KUBET – เว็บระดับโลก จัดอันดับ 2 น้ำ ดื่มไปเหมือน “ลงโทษตับ” อันตรายมากที่สุด คนไทยดื่มกันทุกวัน!

    เว็บไซต์ด้านโภชนาการระดับโลก จัดอันดับ 2 เครื่องดื่ม บริโภคเป็นประจำเหมือนกับการ “ลงโทษตับ” เป็นอันตรายมากที่สุด แต่คนยังดื่มกันทุกยุค!

    ตับเหมือนกับเครื่องกรองเลือดของร่างกาย ซึ่งทำงานหลายพันล้านภารกิจสำคัญในชีวิต และหนึ่งในภารกิจที่สำคัญที่สุดคือการกรองสารพิษออกจากเลือด ทุกสิ่งที่คุณรับประทานผ่านทางระบบย่อยอาหารจะถูกกรองผ่านตับ เกือบทุกมิลลิลิตรของเลือดในร่างกายคุณจะต้องไหลผ่านตับ ตับจะแยกและทำความสะอาดสารเคมี สารอาหาร ยา แอลกอฮอล์ และสารพิษต่างๆ ในเลือดก่อนที่เลือดจะไหลไปทั่วร่างกาย

    หากตับไม่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่างกายของคุณจะถูกสารพิษล้อมรอบ และตามข้อมูลจากเว็บไซต์ด้านโภชนาการของสหรัฐอเมริกา Eat This, Not That! ระบุว่าสิ่งที่เราดื่มเข้าไปในร่างกายนั้น สามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อตับ โดยย้ำเตือนถึง 2 เครื่องดื่มที่ “ควรหลีกเลี่ยง” เนื่องจากเป็นอันตรายต่อตับที่สุด พร้อมอธิบายเหตุผลว่าที่ชัดเจนว่าทำไมมันถึงเป็นอันตราย

    เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

    ไม่น่าแปลกใจเลยที่ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” จะถูกจัดอันดับเป็นอันตรายต่อการทำงานของตับ ผู้คนรู้ดีว่าการดื่มมากเกินไปสามารถทำให้เกิดโรคตับแข็ง ซึ่งจะทำให้เนื้อตับที่มีสุขภาพดีถูกแทนที่ด้วยเนื้อตับที่เป็นแผลเป็น และในที่สุดอาจนำไปสู่การเสียชีวิต หรือจำเป็นต้องได้รับการปลูกถ่ายตับเพื่อความอยู่รอด

    แต่การเกิดความเสียหายไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ตามระบบการแพทย์ของสหรัฐอเมริกา Johns Hopkins Medicine ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์จะผ่านหลายขั้นตอนก่อนที่ตับจะเสียหาย ขั้นตอนสำคัญคือการสะสมไขมันภายในเซลล์ตับ ที่เรียกว่าไขมันพอกตับ และการอักเสบเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์ ซึ่งจะนำไปสู่การตายของเซลล์ตับและการสร้างแผลเป็น กระทั่งตับแข็งซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่อันตรายมากของโรคไขมันพอกตับ

    “เกือบทุกคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากๆ แม้แค่ในคืนเดียวก็จะมีภาวะไขมันพอกตับในระดับใดระดับหนึ่ง” Dr.Rockford Yapp แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหาร โรงพยาบาล Advocate Good Samaritan ในสหรัฐอเมริกา กล่าว

    ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (CDC) กำหนดว่าการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป คือการดื่มมากกว่า 15 แก้วต่อสัปดาห์สำหรับผู้ชาย และ 8 แก้วต่อสัปดาห์สำหรับผู้หญิง ซึ่งหนึ่งแก้วจะเท่ากับเบียร์ 350 มล. ไวน์ 150 มล. หรือสุรา 45 มล. ข่าวดีคือ ไขมันพอกตับสามารถฟื้นฟูได้ โดยจะจะค่อยๆ หายไป หากหยุดดื่มแอลกอฮอล์ 

    น้ำอัดลมและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล

    หากใส่ใจสุขภาพ คงทราบดีว่าเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลคือสาเหตุหลักของการเกิดโรคอ้วน แต่รู้ไหมว่าน้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาล ล้วนสามารถเพิ่มไขมันในตับได้ โดยน้ำตาลและไซรัปในเครื่องดื่มเหล่านี้ จะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันโดยตับ จากนั้นไขมันเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ในเซลล์ตับ ซึ่งนำไปสู่ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่เกี่ยวกับแอลกอฮอล์ (NAFLD) ซึ่งมีผลกระทบต่อ 30% ของผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา

    ในความเป็นจริง โรคอ้วนและเบาหวานประเภท 2 ถูกมองว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะตับไขมันตามข้อมูลจาก American Gastroenterological Association  ขณะที่ Dr. Waqas Mahmood แพทย์จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย กล่าวว่า “ในบรรดาเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล น้ำอัดลมคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในการทำร้ายตับ”

    แล้วกาแฟล่ะ? ผลกระทบของกาแฟต่อสุขภาพตับขึ้นอยู่กับวิธีการดื่ม หากดื่มกาแฟแบบธรรมดา กาแฟอาจจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพตับ เพราะกาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่สามารถช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด รวมถึงมะเร็งตับ แต่ถ้าดื่มกาแฟที่มีน้ำตาลมาก การดื่มกาแฟนั้นก็อาจเป็นอันตรายเหมือนน้ำอัดลมได้เช่นกัน

  • KUBET – เงินดิจิทัลเฟส 3 นายกฯ ถกบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 10 มี.ค.นี้

    เงินดิจิทัลเฟส 3 เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท นายกฯ ถกบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ 10 มี.ค. 68

    น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 10 มี.ค. นี้ เวลา 10.00 น. คาดว่าจะมีการพิจารณาโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฟส 3 สำหรับบุคคลทั่วไปที่ได้ลงทะเบียนแล้ว

    ทั้งนี้ เงินดิจิทัลเฟส 3 แจก 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กระทรวงการคลัง เคยยืนยันว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 คือ ระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย. 68

    อ่านเพิ่มเติม

  • KUBET – ย้อนเส้นทาง “ผู้กำกับโจ้” คดีคลุมถุงดำ จากตำรวจไฮโซ สู่วาระสุดท้ายจบชีวิตในเรือนจำ

    ย้อนเส้นทาง “ผู้กำกับโจ้” คดีคลุมถุงดำผู้ต้องหา จากตำรวจไฮโซขับรถหรูมีแฟนเป็นดารา สู่วาระสุดท้ายจบชีวิตในเรือนจำ

    เมื่อคืนวันที่ 7 มีนาคม 2568 เวลาประมาณ 23.00 น. พ.ต.ท.ณัฐพล รัตน์สุภาพงศ์ สารวัตร (สอบสวน) สน.ประชาชื่น ได้รับแจ้งเหตุพบศพนักโทษชายผูกคอตายในเรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ

    ผู้เสียชีวิตคือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือที่รู้จักในชื่อ “ผู้กำกับโจ้” อดีตผกก. สภ.เมืองนครสวรรค์ ผู้ต้องขังคดีทรมานผู้ต้องหาจนเสียชีวิต ศพถูกพบภายในห้องขังหมายเลข 50 อาคารแดน 5 สภาพผูกคอตาย

    หลังเกิดเหตุ ศพยังอยู่ภายในเรือนจำ และในช่วงเช้าวันที่ 8 มีนาคม 2568 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงอัยการ เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และแพทย์จากสถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจ จะเข้าทำการชันสูตรเพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต

    คดีประวัติศาสตร์: จากคลุมถุงดำสู่คำพิพากษาประหารชีวิต

    พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางตัดสิน ประหารชีวิต ก่อนลดโทษเหลือ จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันซ้อมทรมาน นายจิระพงษ์ หรือ “มาวิน” ผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต คดีนี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เนื่องจากมี คลิปหลักฐาน เผยแพร่สู่สาธารณะ กลายเป็นหนึ่งในกรณีที่สะเทือนวงการตำรวจไทย

    • 5 สิงหาคม 2564 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย พร้อมของกลางยาเสพติดกว่า 100,000 เม็ด มีรายงานว่า มีการเรียกรับเงินสินบน 2 ล้านบาท แต่ผู้ต้องหายอมจ่ายเพียง 1 ล้านบาท เมื่อต่อรองไม่สำเร็จ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ และพวก ใช้ถุงดำคลุมศีรษะ “มาวิน” จนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต ศพของมาวินถูกส่งไปโรงพยาบาล พร้อมมีการรายงานว่าเสียชีวิตจาก “พิษสารแอมเฟตามีน” ผู้ต้องหาหญิงที่ถูกจับกุมพร้อมกัน ได้รับการปล่อยตัว โดยถูกสั่งห้ามเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
    • 22 สิงหาคม 2564 นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความโพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก “ทนายคลายทุกข์” ระบุว่าได้รับข้อมูลจากตำรวจชั้นผู้น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ทรมานผู้ต้องหาจนเสียชีวิตที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสาธารณชนติดตามเรื่องนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับนายจิระพงศ์
    • 24 สิงหาคม 2564 นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ทนายความ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอโดยระบุว่าได้รับจากตำรวจชั้นผู้น้อยที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ คลิปดังกล่าวมีความยาว 1.21 นาที เป็นภาพเหตุการณ์ที่มีชายกลุ่มหนึ่งแต่งกายคล้ายตำรวจ คนหนึ่งนำถุงคลุมศีรษะของผู้ชายที่นั่งอยู่โดยถูกใส่กุญแจมือไว้ ชายที่นั่งอยู่พยายามดิ้นรนจนกระทั่งหมดสติล้มลงบนพื้น

      หลังจากคลิปถูกเผยแพร่ไม่กี่ชั่วโมง พล.ต.อ. สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้แถลงข่าวด่วนที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลว่าได้มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด และต่อมา ผบ.ตร. ได้ลงนามในคำสั่งให้ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์ ที่เกี่ยวข้องทั้ง 7 นายออกจากราชการมีผลตั้งแต่ 24 ส.ค. 2564 ได้แก่ พ.ต.อ. ธิติสรรค์, พ.ต.ต. รวิโรจน์ ดิษทอง, ร.ต.อ. ทรงยศ คล้ายนาค, ร.ต.ท. ธรณินทร์ มาศวรรณา, ด.ต. วิสุทธิ์ บุญเขียว, ด.ต. ศุภากร นิ่มชื่น และ ส.ต.ต. ปวีณ์กร คำมาเร็ว

    • 25 สิงหาคม 2564 ศาลจังหวัดนครสวรรค์อนุมัติหมายจับ พ.ต.อ. ธิติสรรค์ และพวกรวม 7 คน ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบทำให้ผู้อื่นเสียหาย ร่วมกันข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด และร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้าย วันรุ่งขึ้นตำรวจเปิดเผยว่าจับกุมผู้ต้องหาได้แล้ว 5 ราย อีก 2 คน คือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ และ ร.ต.ท. ธรณินทร์ รองสารวัตรป้องกันปราบปราม ยังหลบหนี

    • 26 สิงหาคม 2564 พ.ต.อ. ธิติสรรค์ติดต่อขอมอบตัวและถูกควบคุมตัวจาก สภ.เมืองแสนสุข จ.ชลบุรี มาแถลงข่าวที่กองบังคับการปราบปราม ขณะที่ ร.ต.ท. ธรณินทร์ถูกจับกุมวันนี้เช่นกัน

    • 27 สิงหาคม 2564 ตำรวจนำตัว พ.ต.อ. ธิติสรรค์ และ ร.ต.ท. ธรณินทร์ ไปสอบปากคำที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ จากนั้นได้ขออำนาจฝากขังพร้อมคัดค้านกันประกันตัว โดยให้เหตุผลว่าเป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นอดีตตำรวจ ถ้าหากได้รับการประกันตัว อาจจะออกมายุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทำให้ส่งผลกับรูปคดี ศาลอนุญาต ส่งตัวเข้าเรือนจำกลางพิษณุโลก

    • 8 มิถุนายน 2565 ศาลอาญาคดีทุจริตฯ พิพากษา ประหารชีวิต พ.ต.อ.ธิติสรรค์ แต่ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ผู้ร่วมกระทำผิดบางรายได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ส่วน ด.ต.ศุภากร จำเลยที่ 6 ได้รับโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน

    ประวัติ ผู้กำกับโจ้ 

    ผู้กำกับโจ้ หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อเดิมคือ สารวัตรโจ้ หนุ่มนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 41 นักเรียนนายร้อยรุ่น 57 ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ 

    โดยมีฉายา ฉายาว่า โจ้ เฟอร์รารี่ เพราะเขาเป็นเจ้าของรถสปอร์ตยี่ห้อหรูหลายคัน ที่มีราคามูลค่ามากกว่า 10 ล้านบาทเลยก็ว่าได้ เรียกว่าเป็นนายตำรวจที่โด่งดังและรู้จักกันในแวดวงสังคมไฮโซ อีกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

    ผู้กำกับโจ้ หรือ สารวัตรโจ้ ก่อนเกิดคดีคลุมถุงกำ เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการบันเทิงไทย เพราะว่าเขาคนนี้เคยเป็นอดีตคนรู้ใจของนักแสดงสาว และถึงกับมีข่าวขอแต่งงานกันมาแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ได้เลิกรากันไปจากประเด็นที่ ผู้กำกับโจ้ มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว