Blog

  • KUBET – ประวัติ อ๊อฟ อภิชาติ พัวพิมล ลูกชายสุดรักของแม่สีดา พัวพิมล อดีตหวานใจ ต่าย สายธาร

    ประวัติ อ๊อฟ อภิชาติ พัวพิมล นักแสดงผู้ล่วงลับ ลูกชายสุดรักของแม่สีดา อดีตคนรักของ ต่าย สายธาร

    อภิชาติ พัวพิมล หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า อ๊อฟ เกิดเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2519 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นายอมรจักร วิญญทาน และ นางสีดา พัวพิมล โดยเขามีพี่น้องสองคน อ๊อฟจบการศึกษาด้านพณิชยการจากโรงเรียนเซนต์จอห์น และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีจากคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เขาเริ่มต้นเข้าวงการบันเทิงจากการถ่ายแบบนิตยสาร ก่อนจะมีผลงานละครเรื่องแรกคือ เรือมนุษย์

    ความสามารถและบุคลิกที่โดดเด่นทำให้อ๊อฟกลายเป็นที่รู้จักในวงการบันเทิง โดยเขาได้รับฉายาว่า “คีอานู รีฟเมืองไทย” หรือ “คีนู อ๊อฟ” ด้วยรูปลักษณ์และบุคลิกที่มีความคล้ายคลึงกับดาราฮอลลีวูดชื่อดัง ทำให้อ๊อฟเป็นที่จดจำและได้รับการยอมรับอย่างมากในวงการ

    ชีวิตส่วนตัว ของอ๊อฟเคยคบหาดูใจกับนักแสดงสาวรุ่นเดียวกัน ต่าย สายธาร นิยมการณ์ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่ภายหลังได้เลิกรากัน ต่อมาเขายังมีความสัมพันธ์กับ เจี๊ยบ พิจิตรา สิริเวชชะพันธ์ และมีบุตรสาวหนึ่งคนกับ น.ส.ศิริพร เชียร์สมสุข ช่างแต่งหน้าประจำกองถ่ายละครและภาพยนตร์ชื่อดัง โดยบุตรสาวของเขาคือ น้องจีนส์ แพรวา เชียร์สมสุข

    การเสียชีวิต ของอ๊อฟ อภิชาติ เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 ด้วยโรคหอบหืดและมีอาการเส้นเลือดหัวใจตีบแทรกซ้อน รวมอายุได้ 30 ปี 3 เดือน อ๊อฟถูกพบว่าเสียชีวิตในชุดนอน เสื้อกล้ามสีขาว และกางเกงขายาวลายสกอตสีน้ำเงิน ขณะนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ยังเปิดอยู่ โดยมียาแก้โรคหอบหืดวางอยู่บนโต๊ะ ครอบครัวได้เตรียมเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเพื่อเปลี่ยนให้อ๊อฟเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไปรับศพที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ

    การศึกษา

    • มัธยมศึกษาตอนต้น: โรงเรียนปานะพันธุ์วิทยา ในพระบรมราชูปถัมภ์
    • พณิชยการ: โรงเรียนเซนต์จอห์น
    • อุดมศึกษา: คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

    การจากไปของอ๊อฟถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการบันเทิงไทย ทั้งผลงานและบุคลิกของเขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้ที่ชื่นชอบเขาตลอดไป

  • KUBET – หมอยังตะลึง สาวหายขาดจาก “ไขมันพอกตับ” ใน 3 เดือน เพราะสิ่งที่กินทุกเช้า

    แพทย์เปิดเคสหญิงวัย 30 ปี หายจาก “ไขมันพอกตับ” เพียงปรับการกินมื้อเช้า ที่ไทยมีครบ แถมหาซื้อง่าย

    ดร.เฉียน เจิ้งหวง เล่าว่า เมื่อ 3 เดือนก่อน จาง หยุน หญิงสาววัย 30 ปี มาตรวจสุขภาพและพบว่าเป็นไขมันพอกตับ แม้ยังไม่รุนแรง แต่แพทย์แนะนำให้เธอ ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและโภชนาการ แทนการใช้ยา

    ล่าสุด เมื่อเธอกลับมาตรวจอีกครั้ง ผลตรวจระบุว่าไขมันพอกตับของเธอหายไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เธอดีใจเป็นอย่างมาก ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา เธอลดน้ำหนักได้ 5 กิโลกรัม โดยไม่ได้ออกกำลังกายเลย “สิ่งเดียวที่ฉันทำคือเปลี่ยนอาหารเช้าให้เป็นเมนูเพื่อสุขภาพ” เธอเล่าให้แพทย์ฟัง

    เผยเมนูอาหารเช้าที่ช่วยให้หญิงวัย 30 ปีหายจากไขมันพอกตับ

    จาง หยุน เล่าว่า มื้อเช้าของเธอเรียบง่าย โดยมักรับประทานมันเทศ 1-2 หัว คู่กับกล้วย 1 ผล หรือบางวันก็เปลี่ยนเป็นไข่ต้ม 2 ฟอง พร้อมกับกาแฟ 1 ถ้วย

    เมื่อสอบถามเพิ่มเติม ดร.เฉียน เจิ้งหวง พบว่าเธอต้มมันเทศตั้งแต่คืนก่อน แล้วปล่อยให้เย็นก่อนรับประทานในเช้าวันถัดไป ส่วนกล้วยที่เธอเลือกกิน เป็นกล้วยที่สุกพอดี (เปลือกเหลืองแต่ยังมีสีเขียวเล็กน้อย)

    แพทย์อธิบายว่า มันเทศที่ปล่อยให้เย็นและกล้วยสุกพอดีมี “แป้งทนย่อย” (Resistant Starch) ซึ่งงานวิจัยหลายฉบับระบุว่า ช่วยควบคุมน้ำหนักและลดภาวะไขมันพอกตับได้

    ความเชื่อมโยงระหว่างแป้งทนย่อยกับภาวะไขมันพอกตับ

    เว็บไซต์ Medical News Today อ้างถึงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Cell Metabolism ซึ่งพบว่า แป้งทนย่อย (Resistant Starch) ช่วยลดการอักเสบและความเสียหายของตับ ส่งผลให้ภาวะไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ดีขึ้น

    การศึกษานี้มีผู้เข้าร่วม 200 คน ที่ป่วยเป็นไขมันพอกตับ โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม

    • กลุ่มแรก ได้รับ แป้งทนย่อยจากข้าวโพด
    • กลุ่มที่สอง (กลุ่มควบคุม) ได้รับ แป้งธรรมดา ในปริมาณแคลอรีเท่ากัน

    ผู้เข้าร่วม ละลายแป้ง 40 กรัมในน้ำ 300 มล. แล้วดื่มก่อนอาหารวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน

    ผลการทดลองหลัง 4 เดือน

    • กลุ่มที่บริโภคแป้งทนย่อย มี ระดับไตรกลีเซอไรด์ (ไขมันในตับ) ลดลงเกือบ 40% เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม
    • เอนไซม์ตับลดลง และ อาการอักเสบของตับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

    การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้

    • นักวิจัยพบว่า กลุ่มที่รับแป้งทนย่อยมีแบคทีเรียในลำไส้เปลี่ยนไป โดยเฉพาะแบคทีเรีย Bacteroides stercoris ลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญไขมันในตับ

    ทั้งนี้ การรับประทานอาหารที่มีแป้งทนย่อยเป็นประจำ เช่น ธัญพืชเต็มเมล็ด, ถั่วต่างๆ, กล้วยดิบหรือกล้วยห่าม และข้าวหรือมันเทศที่ผ่านการหุงแล้วปล่อยให้เย็น อาจช่วยลดภาวะไขมันพอกตับได้ ตามข้อมูลจาก Medical News Today

  • KUBET – เมย์ วาสนา คือใคร ประวัติ เมนี่ ดร.วาสนา อินทะแสง นักธุรกิจไฮโซสาวพันล้าน

    ประวัติ ดร.เมย์ วาสนา นักธุรกิจสาวพันล้าน ผู้ปั้นมือทองในวงการความงาม

    ในแวดวงธุรกิจความงามและอาหารเสริม ชื่อของ “มาดามเมนี่” หรือ “เมย์ ดร.วาสนา อินทะแสง” กลายเป็นที่รู้จักในฐานะซีอีโอแห่ง REVOMED Group และ Group CEO ของ BENOVA Global ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันเหล่าเซเลบและดาราให้ก้าวเข้าสู่โลกธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ มาดามเมนี่ได้สร้างยอดขายถล่มทลายให้กับแบรนด์ต่าง ๆ รวมถึงเป็นนักปั้นมือทองที่ผลักดันเหล่าคนบันเทิงให้มีธุรกิจของตนเองจนประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล

    เส้นทางชีวิตที่ไม่ง่ายของมาดามเมนี่

    ชีวิตของ “เมย์ วาสนา อินทะแสง” หรือ “มาดามเมนี่” ไม่ได้เริ่มต้นจากจุดสูงสุดเหมือนที่หลายคนเห็นในปัจจุบัน เธอเป็นลูกชาวนาในครอบครัวยากจน และจบการศึกษาที่ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื่องจากครอบครัวไม่สามารถส่งเธอเรียนต่อได้ หลังจากนั้น เธอตัดสินใจย้ายมาทำงานในกรุงเทพฯ เริ่มต้นด้วยการเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารตามสั่ง ก่อนจะมีโอกาสทำงานในร้านอาหารย่านหลังสวน ซึ่งทำให้เธอได้รับทิป 3,000 บาท และต่างหูทับทิมจากลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เธอเริ่มคิดถึงการให้บริการด้วยความใส่ใจและทำให้ลูกค้าประทับใจ

    จากเซลล์ขายประตูสู่ผู้บุกเบิกตลาดยา

    เมื่อทำงานเก็บเงินจนมีโอกาสส่งตัวเองเรียนต่อ เมย์เริ่มต้นการทำงานในตำแหน่งเซลล์ขายประตูหน้าต่างอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นงานที่เธอไม่เคยมีความรู้มาก่อน แต่ทักษะการขายที่โดดเด่นทำให้เธอสร้างยอดขายได้เป็นอย่างดี ต่อมา บริษัท Pacific Health Care ได้เห็นศักยภาพของเธอและมอบหมายให้เธอเป็นผู้บุกเบิกตลาดยาในภาคอีสาน ซึ่งเธอก็ประสบความสำเร็จในการทำงานที่นั่น

    ก้าวสู่การสร้างธุรกิจของตัวเอง

    หลังจากมีประสบการณ์ในการทำงานให้กับบริษัทต่าง ๆ มาดามเมนี่ได้ตัดสินใจลาออกเพื่อเปิดบริษัทของตัวเอง โดยเริ่มต้นด้วยการสร้าง REVOMED (Thailand) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการผลิตสินค้าความงามและอาหารเสริมครบวงจร แม้ในช่วงแรกจะต้องเผชิญกับหนี้สินจำนวน 30 ล้านบาทจากการสร้างโรงงาน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและการบริหารที่ดี ทำให้เธอสามารถสร้างโรงงานแห่งที่สองได้สำเร็จ

    การศึกษาที่ไม่มีวันสิ้นสุด

    ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในธุรกิจ แต่ ดร.วาสนา ก็ไม่เคยละเลยการศึกษาของตนเอง เธอได้รับปริญญาโท 2 ใบ คือ Master of Business Administration (Strategic Management) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ Master of Science (Anti-Aging and Regenerative Medicine) จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ก่อนจะเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก

    มาดามเมนี่: นักปั้นมือทองแห่งวงการบันเทิง

    ดร.วาสนาได้รับการขนานนามว่าเป็น “นักปั้นมือทอง” ในวงการบันเทิง เธอเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของดาราและเซเลบมากมาย ที่ริเริ่มสร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์เป็นของตนเอง เช่น สงกรานต์ เตชะณรงค์, มายด์ ณภศศิ และ ดิว อริสรา

    สุดยอดนักสะสมและผู้ทรงอิทธิพลในวงการแฟชั่น

    มาดามเมนี่ยังเป็นที่รู้จักในวงการแฟชั่น ด้วยการครอบครองเครื่องประดับสุดหรู เช่น สร้อยคอ Lotus Arts de Vivre มูลค่า 22 ล้านบาท และ สร้อยคองูจาก BULGARI นอกจากนี้เธอยังเป็นนักสะสมของแบรนด์หรูที่มีมูลค่าสูง เช่น Hermès, Patek Philippe, Rolex, Cartier, และ Van Cleef & Arpels รวมถึงยังมีภาพถ่ายร่วมกับคนดังทั้งในและต่างประเทศ

    เส้นทางชีวิตของ ดร.วาสนา อินทะแสง หรือ “มาดามเมนี่” เป็นตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความพยายามที่ไม่ย่อท้อในการต่อสู้เพื่อความสำเร็จ ทั้งในด้านธุรกิจและการศึกษา

  • KUBET – “หนุ่ม กรรชัย” ถาม “ดิว อริสรา” เอาเงินไปทำอะไรเยอะมาก เปิดยอดหนี้ทั้งหมด

    โฟนอินเข้ารายการ โหนกระแส เพื่อเคลียร์ทุกประเด็นที่กำลังเป็นกระแสข่าวฮอตอยู่ในช่วงนี้ สำหรับดาราสาว ดิว อริสรา หลังจาก ดร.เมย์ วาสนา อินทะแสง หรือ มาดามเมนี่ นักธุรกิจสาวพันล้าน ออกมาเผยปมถูกยืมของเป็นมูลค่ากว่า 62 ล้าน แต่ยังไม่ได้คืน

    โดยหนึ่งในบางช่วงบางตอน พิธีกรชื่อดังอย่าง หนุ่ม กรรชัย ได้ถาม ดิว อริสรา ถึงข้อสงสัยที่ว่า พี่ถามนิดนึง ขอโทษนะ ดิวเอาเงินไปทำอะไร จากคนนั้นคนนี้ มันเยอะมากมายขนาดนี้ ?

    ซึ่ง ดิว อริสรา ก็ได้ตอบว่า “หนูก็ลงทุนทำธุรกิจหลายอย่าง บางอันมันก็ไม่ได้มีเงินหนู บางอันก็เอาไปทำอีกอย่าง แต่เอาเป็นว่าธุรกิจทั้งหมดที่ดิวทำ ไม่ได้มีอะไรประสบความสำเร็จเลย อันนี้ข้อแรก ส่วนข้อสอง หนูยอมรับตรงๆ เลยว่า โอเค ตัวหนูเองก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้กับสังคมอะค่ะ ที่ใช้เงินเกินตัวหรือเปล่า หรือไม่ประมาณตัวเอง จนทำให้เกิดปัญหาแบบนี้”

    “หนูว่ามันถึงจุดที่จะต้องยอมรับแล้วว่ามันเป็นแบบนั้นนะ คือหนูใช้เงินเกินตัว และไม่ประมาณตัวเอง บวกกับสิ่งต่างๆ ที่หนูทำในชีวิต และมันไม่ประสบความสำเร็จ มันไม่ได้ตังค์อะ ในเมื่อมันไม่ได้ตังค์ มันก็เลยทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ ซึ่งทุกๆ คนช่วยดิวหมด ช่วยดิวจริงๆ ค่ะ”

    จากนั้น หนุ่ม กรรชัย ยังถามต่อว่า ตัวเลขกลมๆ ที่เป็นหนี้ตอนนี้เท่าไหร่ ?
    ดิว อริสรา เผย “มียอดที่ดิวเป็นหนี้กับพี่เมย์ และก็มีเหลือแค่รุ่นพี่คนนั้นอีกคนนึงที่ดิวยังติดเขาอยู่ล้านกว่าบาท แต่อื่นๆ ที่มีข่าวก่อนหน้านี้ ดิวบอกได้เลยนะคะว่ามันเป็นการลงทุนร่วมกัน ซึ่งดิวมีหลักฐานเหมือนกัน”

  • KUBET – สามี “ดิว อริสรา” เคลื่อนไหวแล้ว โพสต์สตอรี่ หลังมีปมร้อนสนั่นโซเชียล

    กลายเป็นประเด็นร้อนสนั่นโลกออนไลน์อีกครั้ง สำหรับกรณีที่ มาดามเมนี่ หรือ เมย์-วาสนา อินทะแสง ออกมาโพสต์ตามหาเครื่องประดับ นาฬิกา และกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรู รวมมูลค่ากว่า 62 ล้านบาท ที่เพื่อนรักยืมไปแล้วยังไม่คืน เนื่องจากเลยกำหนดขีดเส้นตายให้เอามาคืนที่เดือนกุมภาพันธ์

    ซึ่งในคอมเมนต์ได้มีคนแท็กไปถึงดาราสาว ดิว อริสรา และก็ได้มีคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ตามมาอีกมากมาย

    ต่อมาในทางด้านของ เซบาสเตียน ลี สามีของ ดิว อริสรา ก็ได้มีการเคลื่อนไหว ด้วยการแชร์คลิปวิดีโอคนกำลังทำความสะอาดสนามหญ้าหน้าบ้านลงบนสตอรี่ไอจีของตนเอง

    แต่ในส่วนของ ดิว อริสรา ยังคงไร้การเคลื่อนไหวใดๆ จากโลกของโซเชียลมาเป็นระยะเวลานานแล้ว

  • KUBET – ประวัติ ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร คือใคร ยูทูบเบอร์หนุ่มหน้าใส แถมรวยโคตรๆ

    ประวัติ ซุง ศตาวิน หนุ่มหน้าใส รวยเหลือเชื่อ

    จากเด็กชายที่เติบโตในครอบครัวธุรกิจรถมือสอง สู่การเป็นหนึ่งในผู้บริหารของอาณาจักร “Love Potion” และ “ตลาดเซฟวัน GO” คุณซุง หรือ “ซุง ศตาวิน” นับเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีเส้นทางการเป็นเจ้าของธุรกิจที่น่าสนใจตั้งแต่ยังเด็ก

    หากพูดถึงอินฟลูเอนเซอร์หน้าใหม่ที่มาแรงสุด ๆ ตอนนี้ หนึ่งในนั้นคงต้องยกให้ “ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร” เจ้าของช่องยูทูป Starwin Narkthongpet ที่มียอดผู้ติดตามสูงถึงกว่า 3 ล้านคน ด้วยคอนเทนต์ที่หลากหลายและน่าสนใจ ทั้งเรื่อง Lifestyle, แฟชั่น, การแต่งตัว, การทำอาหาร และการเล่นเกมส์ต่าง ๆ ทำให้เขากลายเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว

    ซุง ศตาวิน คือใคร?

    • ชื่อจริง: ศตาวิน นาคทองเพชร
    • เกิดวันที่: 14 ธันวาคม (ปัจจุบันอายุ 25 ปี)
    • การศึกษา: จบจากภาควิชาเทคโนโลยีการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร (SIIT) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    • ช่องยูทูป: Starwin Narkthongpet
    • เฟซบุ๊ก: Sungstarwin

    ซุงเริ่มต้นทำคอนเทนต์ใน YouTube ด้วยความสนใจส่วนตัว และเคยทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์ดังอย่าง “เก๋ไก๋” และ “สไปร์ท” ซึ่งตอนแรกเขายังไม่ค่อยรู้เรื่องการใช้กล้องหรือการถ่ายทำ แต่ด้วยความพยายามและการช่วยเหลือกันสร้างคอนเทนต์ ทำให้ค่อย ๆ กลายเป็นงานจริงจัง จนในที่สุดซุงได้ตัดสินใจเปิดช่องของตัวเองอย่างเต็มตัว

    เส้นทางการทำธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก

    ซุงเริ่มสร้างรายได้ด้วยตนเองตั้งแต่ประถม โดยการหาซื้อนาฬิกา G-Shock มือสอง มาขายต่อ ต่อมาได้เรียนรู้วิธีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจาก eBay ซึ่งทำให้เขาเริ่มนำเข้าสินค้ามาขายได้จริง ๆ

    หนึ่งในสินค้าที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับเขาคือ “เซตขัดไฟหน้ารถ” ที่นำเข้าจากจีน และพัฒนาไปสู่การผลิตน้ำยาขัดไฟหน้ารถเอง ส่งผลให้ทำกำไรได้หลายล้านบาทตั้งแต่ยังเรียนอยู่ ม.4

    เส้นทางความรักและชีวิตส่วนตัว

    ซุงกำลังคบหาดูใจกับ “ซ้อการ์ด” อินฟลูเอนเซอร์สาวสวย ที่เป็นทั้งแฟนและ CEO เจ้าของอินสตาแกรมชื่อดัง carddd ซึ่งทั้งคู่มักจะมีโมเมนต์น่ารัก ๆ ให้แฟน ๆ ได้ติดตามอยู่เสมอ

    จุดเด่นและความสำเร็จ

    สิ่งที่ทำให้ซุงโดดเด่นคือ ความหลากหลายของคอนเทนต์ที่เขาผลิตออกมา และความเป็นตัวของตัวเองที่ดูเป็นธรรมชาติ บวกกับการนำเสนอที่ทันสมัยและตรงใจคนรุ่นใหม่ จึงไม่แปลกที่เขาจะกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

    จะเห็นได้ว่าชีวิตของ ซุง ศตาวิน นาคทองเพชร นั้นน่าสนใจมาก ทั้งเรื่องราวการทำคอนเทนต์ การร่วมงานกับคนดัง และความรักที่ดูสดใส ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงเป็นที่นิยมและถูกพูดถึงอย่างมากในวงการอินฟลูเอนเซอร์เมืองไทยในปัจจุบัน

  • KUBET – ฝรั่งมาไทยอัดคลิปถาม “ปลาอะไร?” ติดใจจนต้องซื้อซ้ำ คนไทยเซอร์ไพรส์ไม่คิดว่าจะชอบเมนูนี้

    นักท่องเที่ยวต่างชาติอัดคลิปถามคนไทย “ปลาอะไร?” ติดใจจนต้องซื้อซ้ำ หลายคนเซอร์ไพรส์ไม่คิดว่าจะชอบเมนูนี้ 

    กลายเป็นไวรัลในหมู่คนไทย เมื่อผู้ใช้ TikTok ชื่อ manuelcalumet นักท่องเที่ยวชาวเยอรมันที่พาครอบครัวมาเที่ยวประเทศไทย ได้โพสต์คลิปสอบถามชื่อเมนูปลาที่เขาซื้อจากตลาด ซึ่งเขาบอกว่าเป็นปลาที่อร่อยมาก แต่ไม่ทราบว่ามีชื่อเรียกว่าอะไร

    ในคลิปดังกล่าว เมื่อเดินเข้าไปที่ร้านขายกับข้าว เขาชี้ไปที่ปลาที่ต้องการ พร้อมถามคนขายด้วยภาษาอังกฤษว่า “ปลานี้ชื่อว่าอะไร”  แม้จะไม่สามารถสื่อสารได้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจซื้อยกแผงไปถึง 6 ตัว

    หลังจากคลิปเผยแพร่ออกไป มีชาวไทยจำนวนมากเข้ามาคอมเมนต์เฉลยว่าเมนูนี้คือ “ปลาทูเค็มทรงเครื่อง” ซึ่งเป็นปลาทูที่ผ่านการหมักและนำไปทอด เสิร์ฟพร้อมเครื่องเคียงอย่างพริกชี้ฟ้า หอมแดง และมะนาว เพื่อเพิ่มรสชาติและลดความเค็ม โดยหลายคนเสนอชื่อภาษาอังกฤษให้ว่า “Fried Salted Mackerel”

    นอกจากความสนใจในตัวเมนูแล้ว หลายคอมเมนต์ยังแสดงความแปลกใจ เพราะปกติชาวต่างชาติที่มาไทยมักนิยมรับประทานเมนูอย่าง ต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือส้มตำ ไม่ค่อยมีใครเลือกกินปลาทูเค็ม บางคนถึงกับแซวว่า ซื้อไป 6 ตัวแบบนี้ “ไตต้องทำงานหนักแน่!” เนื่องจากเมนูนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเค็ม

    คลิปดังกล่าวยังคงได้รับความสนใจจากชาวเน็ตไทยอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้ “ปลาทูเค็มทรงเครื่อง” กลายเป็นเมนูใหม่ที่ชาวต่างชาติต้องลองในอนาคต!

  • KUBET – ทำไมจึงไม่ควรเสียบ Adapter หัวชาร์จ คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์

    อันตรายและข้อเสียของการเสียบ Adapter (หัวชาร์จ) ชาร์จโทรศัพท์คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์

    การเสียบ Adapter ชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ โดยไม่ได้ชาร์จโทรศัพท์อาจดูเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกระทำเช่นนี้มีอันตรายและข้อเสียที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งต่อความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม โดยจากการศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ พบว่ามีปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรระมัดระวัง ดังนี้:

    1. สิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า

    แม้จะไม่ได้เสียบโทรศัพท์เข้ากับ Adapter ที่ต่อกับปลั๊กไฟ Adapter จะยังคงใช้พลังงานไฟฟ้าอยู่ในปริมาณเล็กน้อย ซึ่งเรียกว่า “การใช้พลังงานแบบสแตนด์บาย” (Standby Power หรือ Vampire Power) การศึกษาโดย Lawrence Berkeley National Laboratory (LBNL) ระบุว่า การเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้าทิ้งไว้โดยไม่ใช้งาน สามารถทำให้เสียพลังงานไฟฟ้าสูงถึง 5-10% ของการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในครัวเรือน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่เพิ่มค่าไฟฟ้าโดยไม่จำเป็น แต่ยังเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมจากการใช้ทรัพยากรพลังงานอย่างไม่คุ้มค่า

    2. ความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้

    การเสียบ Adapter ทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้งาน สามารถเพิ่มโอกาสการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและทำให้เกิดความร้อนสะสม โดยเฉพาะเมื่อใช้ Adapter ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเสื่อมสภาพ การศึกษาของ National Fire Protection Association (NFPA) ชี้ให้เห็นว่าหนึ่งในสาเหตุของการเกิดไฟไหม้ในบ้านเรือนมาจากอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำงานผิดพลาด การเสียบ Adapter คาทิ้งไว้เป็นเวลานานอาจทำให้ความร้อนสะสมและเกิดไฟไหม้ได้ หากมีปัญหาภายในวงจรของ Adapter

    3. การเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ชาร์จ

    แม้ว่าจะไม่ได้เสียบโทรศัพท์เพื่อชาร์จ แต่อุปกรณ์ชาร์จเองก็ยังคงมีการทำงานและเกิดความร้อนสะสมอย่างต่อเนื่อง หากปล่อยให้ Adapter ทำงานเป็นเวลานานๆ อาจส่งผลให้ตัว Adapter เสื่อมสภาพไวขึ้นกว่าปกติ ทำให้อายุการใช้งานของ Adapter ลดลง การศึกษาจาก Consumer Electronics Safety Commission (CPSC) ชี้ให้เห็นว่า การใช้งาน Adapter ที่มีการเสื่อมสภาพอาจทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้าเสียหายหรือมีความเสี่ยงต่อการระเบิดและลุกไหม้ได้

    4. ปัญหาด้านความปลอดภัยในระบบไฟฟ้าในบ้าน

    ในบางกรณี โดยเฉพาะในบ้านเรือนที่มีระบบไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือเก่า การเสียบ Adapter ชาร์จทิ้งไว้ในปลั๊กไฟอาจเพิ่มความเสี่ยงที่ระบบไฟฟ้าจะทำงานผิดพลาด หรือเกิดไฟฟ้ากระชาก (Power Surge) เมื่อเกิดไฟตกหรือไฟดับอย่างฉับพลัน ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์ชาร์จและอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ เสียหายได้

    สรุป

    การเสียบ Adapter ชาร์จโทรศัพท์คาทิ้งไว้กับปลั๊กไฟ แม้จะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก แต่จากการศึกษาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า มีทั้งอันตรายและผลเสียหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงาน ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร และการเสื่อมสภาพของอุปกรณ์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยและการประหยัดพลังงาน ควรถอด Adapter ออกจากปลั๊กไฟทุกครั้งเมื่อไม่ได้ใช้งาน.

    แหล่งที่มา

    • Lawrence Berkeley National Laboratory, Standby Power Summary Table.
    • National Fire Protection Association (NFPA), Electrical Fires Report.
    • Consumer Electronics Safety Commission (CPSC), Adapter Safety Guidelines.
  • KUBET – คนเราปัสสาวะวันละกี่ครั้ง? แพทย์เฉลยคำตอบที่ถูกต้อง หากเกินกว่านี้ เป็นสัญญาณของโรค

    คนเราปัสสาวะวันละกี่ครั้ง? แพทย์เฉลย “คำตอบที่ถูกต้อง” หากเกินกว่านี้ เป็นสัญญาณของโรค อย่าลืมสังเกตตัวเอง

    ปัญหาปัสสาวะบ่อยไม่เพียงแต่สร้างความลำบากในชีวิตประจำวัน แต่ยังอาจส่งผลต่อคุณภาพการนอนหลับอีกด้วย ในเรื่องนี้ นพ.กู้ ฟางอวี่ (Gu Fangyu) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินปัสสาวะ ระบุว่าจำนวนครั้งที่เข้าห้องน้ำในแต่ละวันขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยปกติคนทั่วไปจะปัสสาวะประมาณ 8-12 ครั้งต่อวัน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แต่หากเกิน 12 ครั้งต่อวัน อาจเป็นสัญญาณของ “ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน” (Overactive Bladder: OAB) ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

    นพ.กู้ ฟางอวี่ ได้ให้ความรู้ผ่านวิดีโอบนเพจเฟซบุ๊ก “鳥科學先生-泌尿科顧芳瑜醫師” โดยมีผู้ป่วยรายหนึ่งเล่าว่าต้องเข้าห้องน้ำทุก ๆ 15 นาที ซึ่งเป็นอาการที่ชัดเจนของภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน ตามปกติ ร่างกายไม่ควรรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยเช่นนี้ แพทย์อธิบายว่ากระเพาะปัสสาวะทำหน้าที่เหมือนตัวควบคุมสัญญาณประสาท เมื่อมีปัสสาวะเต็ม กระเพาะปัสสาวะจะส่งสัญญาณไปยังสมองผ่านไขสันหลังเพื่อเตือนให้เราถ่ายปัสสาวะ แต่ในบางกรณี กระเพาะปัสสาวะอาจเกิดการส่งสัญญาณผิดปกติ ทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยแม้ว่าจะมีปัสสาวะเพียงเล็กน้อย

    วิธีรักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน

    แพทย์ระบุว่าการรักษามี 2 วิธีหลัก ได้แก่ การใช้ยา และ การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า

    • การใช้ยา: ยาจะช่วยควบคุมการส่งสัญญาณผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ โดยมักเกี่ยวข้องกับความเครียดของผู้ป่วย ดังนั้นการลดความเครียดก็เป็นสิ่งสำคัญ
    • การกระตุ้นเส้นประสาทด้วยไฟฟ้า: หากการใช้ยาไม่ได้ผล สามารถใช้วิธีนี้ได้ โดยแพทย์จะกระตุ้นเส้นประสาทที่ฝ่าเท้าด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อส่งสัญญาณไปยับยั้งกระเพาะปัสสาวะ ลดความถี่ในการปัสสาวะ

    ปัสสาวะบ่อยมีผลต่อสีของปัสสาวะหรือไม่?

    นพ.กู้ ฟางอวี่ อธิบายว่า โดยทั่วไปแล้ว สีของปัสสาวะในผู้ที่ปัสสาวะบ่อยจะไม่แตกต่างจากปกติ ซึ่งควรเป็นสีเหลืองใส แต่หากพบว่าสีปัสสาวะผิดปกติ เช่น

    • สีเหลืองอมเขียว อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
    • สีเข้มผิดปกติ อาจเกี่ยวข้องกับภาวะเลือดปนในปัสสาวะ

    หากพบความผิดปกติของสีปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย

    แม้ว่าการปัสสาวะบ่อยจะเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไป แต่หากเกิดขึ้นบ่อยเกินไป อาจเป็นสัญญาณของภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน การรักษาที่เหมาะสมและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสามารถช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ

    ข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี

    ศ. นพ.วชิร คชการ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า โดยปกติผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ช่วงตอนกลางวันจะปัสสาวะวันละ 3 – 5 ครั้ง วันละ 1 – 2 ครั้งในตอนกลางคืน

    หากมีอาการปวดปัสสาวะบ่อย ๆ หรือมีความถี่ในการเข้าห้องน้ำมากกว่าจำนวนครั้งที่กล่าว อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพหรือโรคที่แฝงซ่อนอยู่

    • ดื่มน้ำเยอะเกินไป
    • กระเพาะปัสสาวะมีขนาดเล็กกว่าปกติ
    • โรคกระเพราะปัสสาวะไวเกิน
    • ความเสื่อมของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคนิ่วในไตหรือติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
    • เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะ
    • โรคไต
    • ตั้งครรภ์
    • ยารักษาโรคบางชนิด
    • โรคเบาหวาน
    • โรคต่อมลูกหมากโต
    • โรคที่เกี่ยวกับระบบประสาท

    ควรหมั่นสังเกตตัวเองในแต่ละวันมีอาการปัสสาวะบ่อยมากน้อยเพียงใด หรือหากปวดปัสสาวะจนไม่สามารถกลั้นได้ ควรรีบไปพบแพทย์

     

  • KUBET – หญิงวัย 66 กิน “กล้วย” วันละลูกทุกเช้า 1 ปีต่อมาไปพบหมอ ทึ่งกับผลลัพธ์ที่ได้

    ตื่นเช้ามากินกล้วยวันละ 1 ลูก ผ่านไป 1 ปี หญิงวัย 66 ปี ตรวจสุขภาพแล้วพบผลลัพธ์สุดเซอร์ไพรส์ หมอยังประหลาดใจ

    เมื่ออายุเข้าสู่เลข 50 การทำงานของร่างกายเริ่มเสื่อมลง ทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรังมากขึ้น หลายคนเริ่มหันมาดูแลสุขภาพผ่าน การปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง

    บางคนเลือกกินอาหารให้น้อยที่สุดเพราะคิดว่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น บ้างก็เน้นกินอาหารเฉพาะอย่างแต่ ละเลยความสมดุลทางโภชนาการ ส่งผลให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ความดันโลหิตแปรปรวน และปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา

    แต่สำหรับ คุณนายเฉา หญิงวัย 66 ปี จากประเทศจีน เธอไม่ได้เปลี่ยนอาหารการกินอย่างสุดโต่ง และไม่หลงเชื่อแนวทางสุขภาพที่ขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ เธอเพียงแค่กินกล้วยวันละ 1 ลูกทุกเช้าหลังตื่นนอน และรักษานิสัยนี้ต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี

    เมื่อถึงเวลาตรวจสุขภาพครั้งถัดไป แพทย์ประหลาดใจในผลลัพธ์และชื่นชมเธอที่สามารถรักษาสุขภาพได้ดีเยี่ยม

    Dom J

    สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพียงกินกล้วยทุกเช้า

    หลังจากผ่านไป 1 ปี ความดันโลหิตของคุณนายเฉาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ในระดับที่เหมาะสม และที่สำคัญ คุณภาพการนอนหลับก็ดีขึ้นอย่างชัดเจน

    แม้กล้วยจะดูเป็นผลไม้ธรรมดา แต่ประโยชน์ของมันมีมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะหากรับประทานเป็นประจำทุกเช้า ร่างกายอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งถึง 4 ประการ

    หลอดเลือดสะอาดขึ้น

    หลายคนคิดว่า ลดเค็ม คือวิธีควบคุมความดันโลหิต แต่ความจริงแล้ว การเพิ่มโพแทสเซียมก็สำคัญไม่แพ้กัน กล้วยเป็นแหล่งโพแทสเซียมตามธรรมชาติ การกินกล้วยวันละลูกในตอนเช้า ช่วยให้ร่างกายขับโซเดียมส่วนเกิน ออกไป ลดความตึงเครียดของหลอดเลือด และช่วยให้ความดันโลหิตอยู่ในระดับสมดุล

    งานวิจัยพบว่าการเพิ่มโพแทสเซียม 1,000 มก. ต่อวัน สามารถลด ค่าความดันโลหิตตัวบน (Systolic BP) ได้ 4-5 mmHg หากทำอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย

    สุขภาพลำไส้ดีขึ้น

    หากจุลินทรีย์ในลำไส้เสียสมดุล และการเคลื่อนไหวของลำไส้ช้าลง จะส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี ทำให้เกิดอาการท้องอืด, ท้องเฟ้อ, หรือกรดไหลย้อน กล้วยอุดมไปด้วย ไฟเบอร์ละลายน้ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ดีในลำไส้ ทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และการย่อยอาหารเป็นไปอย่างราบรื่น

    หลายคนมักคิดว่าการทานโจ๊กจะช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร แต่ในความจริงแล้วสิ่งที่ช่วยให้กระเพาะแข็งแรงได้จริงๆ คือ การปรับสมดุลของลำไส้ และกล้วยก็เป็นหนึ่งในอาหารที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุดในกระบวนการนี้

    ข้อเข่าที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

    หลายคนมักคิดว่า อาการปวดเข่าหลังจากเดินนานๆ เป็นเรื่องปกติของวัยชรา แต่ความจริงแล้วการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพฤติกรรมการกิน กล้วยอุดมไปด้วยวิตามิน B6 และแมกนีเซียม ซึ่งทั้งสองสารนี้มีบทบาทสำคัญในการประสานงานระหว่าง กล้ามเนื้อและเส้นประสาท หากขาดแมกนีเซียมจะทำให้เกิด อาการตะคริวและข้อฝืดได้ง่าย

    สำหรับผู้สูงอายุที่รู้สึกขาและเท้าอ่อนแรง อาจไม่ใช่เพราะปัญหากระดูกโดยตรง แต่เกิดจากการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อลดลง และการหล่อลื่นของข้อด้อยลง ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวยากขึ้น การกินกล้วยวันละลูก ช่วยเติมเต็ม แมกนีเซียมและวิตามิน B6 ที่จำเป็น เพื่อฟื้นฟูกล้ามเนื้อและทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

    อารมณ์ที่สมดุลมากขึ้น

    หลายคนไม่รู้ว่าคุณภาพการนอนหลับที่ลดลง เกี่ยวข้องกับระดับเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่ควบคุม อารมณ์และการนอนหลับ คนที่ขาดเซโรโทนินไม่เพียงแค่วิตกกังวลและซึมเศร้า แต่ยังมีปัญหาการนอนหลับที่ไม่ดีอีกด้วย

    ทริปโตเฟนในกล้วยเป็นสารสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน การทานกล้วยเป็นประจำสามารถช่วยเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกาย ทำให้อารมณ์สมดุลขึ้น และคุณภาพการนอนหลับดีขึ้น

    การกินกล้วยวันละลูกในตอนเช้าอาจดูเป็นนิสัยง่ายๆ แต่ผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่คิด

    • ไม่เพียงแต่ช่วยให้หลอดเลือดขับโซเดียมส่วนเกิน และทำให้ความดันโลหิตสมดุล แต่ยังช่วยสุขภาพลำไส้ และทำให้กระเพาะรู้สึกดีขึ้น
    • มันยังช่วยลดการสูญเสียกล้ามเนื้อ ทำให้ข้อเคลื่อนไหวดีขึ้น และเพิ่มเซโรโทนิน เพื่อให้การนอนหลับมีความเสถียร